Market session คืออะไร

Market session คืออะไร

                เนื่องจากตลาดฟอเรกเป็นตลาดที่เทรดแบบต้องมีออเดอร์ตรงข้ามเสมอ อาจได้ยินคำว่า OTC (over-the-counter) นั้นหมายความว่าไม่มี centralized exchange แบบ พวก Futures หรือ Opitons หรือพวกตลาดหุ้น

Over The Counter (OTC) คือ การซื้อขายกันเองโดยตรง เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์โดยที่ผู้ซื้อ และผู้ขายตกลงต่อรองราคากันได้เอง หรือเป็นการซื้อขายในตลาดซื้อขายโดยตรง (negotiated market) ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนสามารถต่อรองราคาได้ตามที่ต้องการ ทั้งนี้ การซื้อขายแบบ OTC อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีตลาดอย่างเป็นทางการ

-Decentralized Cryptocurrency Exchange หรือตลาดแบบไม่ผ่านคนกลาง ... CEX หรือ Centralized Cryptocurrency Exchange คือแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญสกุลเงิน ดิจิทัลออนไลน์ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง ผู้ใช้งานสามารถทำการซื้อขายระหว่างเงินกระดาษและสกุล เงินดิจิทัล โดยมีบริษัทหรือหน่วยงานเป็นคนกลาง

คนที่เข้าเทรด สามารถเทรดโดยตรงกับฝั่งตรงข้ามได้เลยผ่านโบรกเกอร หรือบางที่โบรกเกอร์ก็เป็นฝั่งตรงข้ามซะเอง ที่จะเห็นคำว่า Market Maker ใช้กับโบรก

Market Maker ของตลาดอนุพันธ์ ก็คือผู้ดูแลสภาพคล่องที่ตลาดอนุพันธ์แต่งตั้งให้ดูแลสภาพ คล่องสาหรับสินค้าที่ซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ เช่น ผู้ที่เป็น Market Maker สาหรับ SET50 Index Futures ก็จะคอยส่งคาสั่งเสนอซื้อเสนอขาย SET50 Index Futures เพื่อให้มีราคาเสนอซื้อขาย (Bid และ Offer) ของแต่ละ series ในระบบซื้อขายของตลาด ...

เพราะเป็นการทำงานของออเดอร์เลยทำให้ตลาดฟอเรกสามารถเทรดได้ตลอดเวลาเว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเทรดได้ตลอด แต่ความเป็นไปได้สูงก็จะมีตลอด เพราะเมื่อเข้าใจตลาดและการทำงานเวลาเทรดท่านต้องการให้ liquidity มาก ถ้าน้อยราคาก็จะเคลื่อนไหวยาก

สภาพคล่อง (อังกฤษ: Market liquidity) หมายถึงความสามารถในการเปลี่ยนสิ่งของหรือสินทรัพย์ไปเป็นเงินสด เช่นการขายของพอขายของก็จะได้เงินสดกลับมา การที่จะมีสภาพคล่องสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่กับการที่จะเปลี่ยนของหรือสินทรัพย์ชนิดนั้นไปเป็นเงินได้ในระยะเวลาเท่าใด และเป็นของทีมีอุปสงค์และอุปทานมากพอสมควร ของที่มีสภาพคล่องสูงสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที ส่วนของทีมีสภาพคล่องต่ำจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในทันทีแต่ต้องใช้ระยะเวลาซักพักหนึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นของหรือสินทรัพย์ประเภทใด เช่นการขายหุ้นจะต้องทำการขายที่ตลาดหลักทรัพย์ทั้งนี้ก็ต้องดูสภาพคล่องในการตั้งราคาซึ้อขายหุ้นด้วยคือการตั้ง BID เพื่อซื้อ และ OFFER เพื่อขาย พอ MATCH กันก็หมายถึงรายการของผู้ที่ต้องการซื้อมาเจอกับรายการของผู้ที่ต้องการขายก็จะเกิดรายการซื้อขายขึ้น ผู้ซื้อก็ต้องชำระค่าหุ้นและผู้ขายหุ้นก็จะได้เงินสดกลับมา เพียงแต่สภาพคล่องของหุ้นจะไม่ได้เงินในทันทีที่ขายดังนั้นหุ้นจึงมีสภาพคล่องที่ไม่สูงมาก ซึ่งมันต่างกับ Forex เข้าใจตรงกันนะคับ

                เพราะเป็นตลาดที่เทรดแบบ OTC เราจึงจำเป็นต้องรู้ว่าช่วงไหนที่มีฝั่งตรงข้ามมากสุดหรือมีแต่ละฝั่งมากสุด หรือเรียกได้ว่าช่วงไหนที่เป็น Most Active Times สำหรับตลาดฟอเรก  ถ้าช่วงไหนมีเทรดแดอร์เข้าเยอะ (activity) ก็จะทำให้มี liquidity  และ volatility เยอะตามมา (หมายถึงสภาพคล่อง และความผันผวน นะคับ) สิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณาเพราะเมื่อตลาดมี liquidity น้อย ถ้าขาใหญ่เปิดเทรดก็จะทำให้เกิดการคลาดเคลื่อนจากจุดที่ต้องการเทรดเยอะ (slippage) หรือท่านอาจจะสังเกตุเห็นว่ามีการถ่างสเปรดเยอะ

                Market sessions ของฟอเรกหลักที่น่าสนใจก็เป็นตามศูนย์การเงินใหญ่ๆ ของโลก เช่น ช่วงตลาด New York, London, Paris, Frankfurt, Moscow, Tokyo, Singapore และ Sydney  แต่จะกล่าวที่เป็นหลักๆ ตามที่เสนอแนะที่ forexfactory.com ตรงส่วน market นำเสนอช่วงๆหลัก คือ Sdyney, Tokyo, London และ New York


                จากนาฬิกาที่คุณเห็น New York ปิดก็มาเป็น Sydney เปิดนั่นเลยทำให้ตลาดฟอเรกเทรดได้ตลอดเวลา  แต่ต้องไม่ลืมว่าแต่ละตลาดมีลักษณะต่างกันออกไป liquidity มากน้อยต่างกันออกไปด้วย เนื่องจากการเทรดถ้าเราเปิดทางไหนต้องมีออเดอร์ตรงข้ามให้ fill และต้องมีออเดอร์ที่ตามมาในทางที่เราเทรดถึงจะได้กำไร ถ้าตอนที่เปิดเทรดเป็นตอนที่มีแต่เทรดเดอร์อยากเทรด และเทรดเดรอที่ติดลบก็อยากออก เลยทำให้ออเดอร์เข้า-ออกตลาดเยอะ พอมี liquidity สูงก็เลยทำให้ราคาเคลื่อนได้ง่าย เลยต้องมาดูว่าศูนย์การเงินใหญ่ๆ ของโลกคือที่ไหนและเปิดช่วงใด ก็จะได้ช่วงตลาดยุโรปและช่วงตลาดอเมริกา




                ดูจากชาร์ต 4 วันที่ใช้อินดิเคเตอร์ช่วยกำหนดกรอบ market sessions โดยแบ่งออกเป็นแค่ 3 ส่วนหลักๆ คือ Asia Session, London Session และ US  session ท่านจะพบว่า ช่วงที่เป็น London และ US sessions ราคาส่วนมากวิ่งเยอะจากกรอบสีเขียวและที่ติดกันสูงกว่าช่วง Asia session เยอะ หมายความว่าเทรดเดอร์เข้าเทรดหรือมีการจัดการออเดอร์ 2 ช่วงเวลานี้เยอะ

                เมื่อเราสามารถรู้ว่าช่วงไหนที่ตลาดมี คนเข้าเยอะ, ผันผวนเยอะ และ สภาพคล่อง เยอะ เราก็สามารถกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมการเทรดได้ หรือแม้แต่การมอง price levels ต่างๆ เช่น demand/supply, support/resistance เป็นต้น ถ้าเกิดขึ้นหรือราคามีการโต้ตอบและเปิดเผยใน 2 ช่วงตลาดนี้  price levels นั้นๆ จะโต้ตอบดีและเป็น price level ที่ค่อนข้างจะแข็งเพราะเกิดช่วงที่เทรดเดอร์จากสถาบันการเงินใหญ่ๆ ของโลกเข้าเทรด เลยทำให้ เราเห็นร่องรอยที่เปิดเผย นั่นเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นด้วยเงื่อนไขที่เป็นขาใหญ่เทรด การเทรดด้วยวอลลุมที่เยอะ และต้องพยายามรักษาตำแหน่งที่ตัวเองเทรด เลยทำให้ price levels นั้นๆ แข็งโดยปริยาย ยิ่งเป็นช่วงที่ ตลาด London และ US คาบเกี่ยวกันยิ่งดี

 



                จากเลข 1 จะเห็นว่า demand ใหม่เกิดขึ้นหลังจากที่ราคา spike คือพุ่ง เกิด high ของ Asia session  เป็นการลด sell orders และสุดท้าย เบรกขึ้นไปด้วยบาร์แรงยาวๆ ในช่วง Europe session ที่เป็นช่วงตลาดการเงินหลักทางยุโรปเปิด (เราพอเข้าใจเรื่องช่วงตลาดกันแล้วนะ) และจาก price chart ที่เริ่มจะเผยให้เห็นว่าเป็นการเปิดเทรด มาจากขาใหญ่ที่ต้องการเข้าตลาด พอผ่านไปถึงช่วงตลาด US session เปิดราคาลงมา เพื่อเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ที่มาจากช่วง US session เพิ่มออเดอร์เข้าไปหรือเข้าตลาดได้ตรงเลข 2 ด้วย เลยได้ 2 กลุ่มเทรดเดอร์ที่มาจากช่วงตลาดหลักๆ ของโลกที่เป็นขาใหญ่ซะส่วนมาก เทรดเดอร์พวกที่

trapped traders คือพวกที่กระจุกรวมกันอยู่ฝั่งตรงข้ามหลังจากราคาเกิดการเคลื่อนไหว คือพวกที่ยังถือออเดอร์ หลังจากที่ฝั่ง sell orders และ buy orders สู้กันจนเกิดความไม่สมดุลย์กันอย่างชัดเจนเกิดขึ้น ถ้ามองผ่านแท่งเทียนจะเห็นแท่งเทียนยาวๆ วิ่งแบบไปทิศทางเดียวกันไม่กี่บาร์ ราคาปิดเกือบเต็ม..

การเปลี่ยนข้อมูลจาก 2 กลุ่มนี้ก็เลยยิ่งต้องจัดการออเดอร์ ดูอย่างเลข 3 ที่ตามมาพอราคาเบรค พื้นที่เลข 3 ขาใหญ่จาก Europe และ US ก็ใช้พวก trapped traders เร่งราคาให้ไปต่อได้แบบไม่ยาก จนจบวันก็สูงพอที่จะปิดทำกำไร ช่วงจะหมด US session จะเห็นเป็นการปิดทำกำไรราคาไม่ไปต่อ

                ตลาดเปิดมาวันที่ 3 เข้าช่วง Asia session ราคาก็ไม่ไปไหน อยู่ในกรอบหลังจากช่วง Europe session วันที่ 2 ปิด แต่พอถึงช่วง Europe session ของวันที่ 3 ราคาเบรคลงสร้าง supply ที่เลข 5 ขาใหญ่ช่วง Europe เห็น trapped positions เลยเปิดโอกาสให้เข้าตลาดอีกที่เลข 6 แต่ราคาไม่ไปไหนมาก แต่พอมาที่เลข 7 เกิด break down ลงไปอีก สร้าง supply ที่เลข 7 สังเกตุได้ว่า supply 2 พื้นที่ล่าสุดเกิดในช่วง Europe session และ US session เป็นช่วงที่ตลาดการเงินหลักๆ ของโลกเปิดทำการ และจะพบว่าราคายังคงไปในทางที่ร่อยรอยขาใหญ่พวกนี้เปิดเทรด

                ดังนั้น price level ที่เกิดหรือราคากลับมาแล้วโต้ตอบ 2 ช่วงหลัก Europe session และ US session จึงมีผลค่อนข้างเยอะ เพราะเทรดเดอร์ประเภทที่เป็นขาใหญ่หรือสถาบันการเงินใหญ่ๆ ก็จะเทรดหรือจัดการออเดอร์ช่วงนี้เป็นหลัก ยิ่งตอนที่ช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันด้วย ยิ่งจะเห็นราคาไปทางที่พวกขาใหญ่พวกนี้เปิดเผยร่องรอยการเทรดผ่านทางชาร์ตทิ้งไว้

ทั้งหมดที่พูดมานี้คือการแกะรอยกราฟแบบง่ายๆ ผ่านการดูนาฬิกา Market Session ซึ่งถ้าคุณชอบเทรดยาวๆ ผมเองก็มี Rider อีกตัวให้ใช้งาน ชื่อว่า DS Zone  ใช้งานง่ายไม่ต้องวิเคราะห์เองให้เมื่อยสมอง สำหรับวันนี้ผมต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่คลิปหน้า แล้วผมจะนำความรู้ดีๆ มาแชร์ให้ฟังอีกนะคับ แล้วพบกันที่ความสำเร็จ สวัสดีคับ

download indicator

Demand Supply Zone


ต้องการเปิดบัญชีเพื่ดทดลองเทรดได้ฟรี คลิกที่ลิงค์ด้านล่าง!
สมัครบัญชีพันธมิตร Exnessสมัครบัญชี XMสมัครบัญชี IC Market

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราโดยสมัครผ่านลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ



ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.